เคยได้ยินเสียงวิ้ง ๆ ในหูเหมือนมีแมลงหวี่หรือยุงบินอยู่ในหูไหม …
เคยรู้สึกไหมว่าการได้ยินลดลง หรือมีอาการคล้ายกับหูอื้อ …
ถ้าเคยมีอาการแบบนี้ อย่านิ่งนอนใจเพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคประสาทหูเสื่อม
“โรคประสาทหูเสื่อม “โรคที่เป็นความเสี่ยงของอาชีพ ส่วนใหญ่จะเป็น อาชีพที่ต้องสัมผัสกับเสียงดังอยู่แทบตลอดเวลา เช่น อุตสาหกรรมทอผ้า โรงกลึง โรงงานถลุงเหล็กหรือโรงเลื่อย เป็นต้น แต่คนอีกไม่น้อยก็เพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง ด้วยการฟังเสียงดัง ๆ เกินจำเป็น เช่น การใช้หูฟังพร้อมกับเพิ่มระดับเสียงให้ดังมากแทบตลอดเวลา หรือ การเปิดทีวี วิทยุด้วยเสียงดัง เป็นต้น
สัญญาณของโรคประสาทหูเสื่อม
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังแทบตลอดเวลา ลองสังเกตตัวเองดูว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ เพราะนี่คือสัญญาณบ่งบอกว่า โรคประสาทหูเสื่อม กำลังมาเยือนคุณแล้ว
– ได้ยินเสียงลดลง มีอาการหูอื้อ
– ไม่ค่อยได้ยินเสียง กรณีที่ผู้พูดอยู่ไกล
– มีเสียงดังในหู เป็นเสียงที่มีความถี่สูง เหมือนเสียงจิ้งหรีด หรือจักจั่น โดยจะได้ยินชัดขึ้นเมื่ออยู่ในที่เงียบ ๆ
– มีอาการเวียนหัวคล้าย ๆ “บ้านหมุน” ร่วมด้วย
– มีอาการปวดหู และทนฟังเสียงดังไม่ค่อยได้
สาเหตุของโรคประสาทหูเสื่อม
ความจริงแล้วโรคนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บและจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ได้แก่
– การฟังเสียงที่ดังมากกว่า 90 เดซิเบลต่อเนื่องนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน เช่น เสียงจากเครื่องตัดหญ้า เครื่องสูบน้ำ หรือเครื่องปั่นผลไม้
– อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังมาก เช่น อยู่หน้าเครื่องขยายเสียง หรืออาจได้ยินเสียงปืน ระเบิดในระยะประชิด
– เกิดจากการติดเชื้อบริเวณหูชั้นกลางหรือหูชั้นใน
– มีเนื้องอกที่กดทับเส้นประสาท
– เคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรงบริเวณศีรษะ
– ผ่านการเปลี่ยนระดับความกดอากาศ เช่น การขึ้นเครื่องบินหรือดำน้ำลึก
– สภาพร่างกายที่เสื่อมลงตามวัย ก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้ คล้ายกับกรณีสายตายาวขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้นนั่นเอง
จะป้องกันโรคประสาทหูเสื่อมได้อย่างไร
ง่ายสุดคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยง อาทิ ไม่เปิดเพลงเสียงดังเกินไป หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังเกินควร แต่หากไม่สามารถเลี่ยงได้ เช่น เป็นงานที่ต้องทำ ก็ควรหาอุปกรณ์มาช่วยป้องกันเช่น อุปกรณ์ครอบหู หรือที่อุดหู เป็นต้น
โรคประสาทหูเสื่อมเป็นอีกโรคฮิตของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคนี้ จึงละเลยการรักษาในระยะต้น ๆ ทำให้เสียโอกาสที่จะทำให้หายขาดจากโรคดังกล่าว ดังนั้นหากมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ ควรหมั่นสังเกตตัวเองแล้วหาทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีที่สุด